ไขปัญหาคาใจคุณแม่มือใหม่กับ 4 ความเชื่อผิดๆ ในการให้นมลูก


2019-09-11 14:50

จำนวนครั้งที่เปิดอ่าน : 59

เมื่อพูดถึงการให้นมลูก ก็มีหลายความเชื่อและการบอกเล่าต่อกันมาจนอาจทำให้คุณแม่หลายท่านเกิดความสับสนได้ ว่าความเชื่อนั้นถูกต้องหรือไม่ วันนี้เราจึงนำความรู้ดีๆ มาฝากคุณแม่มือใหม่ เพื่อแก้ไขความเชื่อผิดๆ ในการให้นมลูกกันค่ะ

  • ใส่ใจให้นมลูกน้อยจนลืมดูแลสุขภาพตัวเอง

คุณแม่ส่วนมากมักเกิดปัญหาการไม่ดูแลสุขภาพตัวเอง เพราะคิดว่าการให้นมลูกเป็นสิ่งที่เร่งด่วนและสำคัญที่สุดซึ่งต้องทำเป็นอันดับแรก แต่ลืมคำนึงไปว่า น้ำนมล้วนประกอบด้วยสารอาหารจากร่างกายของคุณแม่ หากคุณแม่สุขภาพไม่ดี น้ำนมก็จะไม่มีสารอาหารครบถ้วน ดังนั้น คุณแม่ต้องใส่ใจสุขภาพ ทานอาหารและพักผ่อนให้เพียงพอ และควรทานอาหารเสริม ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน แร่ธาตุ แคลเซียม สังกะสี เพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง และผลิตน้ำนมที่มีคุณภาพให้กับลูกน้อยได้

  • ลูกหลับตอนให้นมแสดงว่าลูกอิ่มแล้ว

คุณแม่หลายคนแอบดีใจลึกๆ เวลาให้นมแล้วลูกหลับไป เข้าใจว่าลูกทานอิ่มจนหลับ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ลูกน้อยสามารถหลับในอ้อมอกของแม่ได้โดยไม่อิ่ม เพราะสบาย มีความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย ฉะนั้นควรหมั่นสังเกตลูก และอาจเปลี่ยนเต้าให้ดูดสลับข้างหรือให้พักการดูดนมเป็นระยะ เพื่อกระตุ้นให้ลูกไม่เผลอหลับ ทานได้อิ่มเต็มที่ เพื่อการเติบโตและพัฒนาการของลูกน้อยนั่นเอง

  • ฟังคำตัดสินการให้นมลูกจากคนอื่น

การให้นมลูกไม่มีกฎตายตัว คุณแม่ต้องสังเกตลูกน้อยและปรับการให้นมให้สอดคล้อง ลูกบางคนทานนม 5-10 นาที หรือ 20 นาที ถึงจะอิ่ม คุณแม่บางคนก็ให้ลูกออกเต้าไวแค่ 6 เดือน บางคน 1 ถึง 2 ขวบ จึงให้หย่านม ทั้งหมดนี้ไม่มีถูกหรือผิด คุณแม่ควรศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้แล้วนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมที่สุด

  • เข้าใจว่าการเจ็บเต้าจากให้นมเป็นเรื่องปกติ

คุณแม่หลายท่านเข้าใจผิดว่าการเจ็บเต้านมเป็นเรื่องปกติของการให้นมลูก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วอาจเกิดปัญหาบางอย่างซ่อนอยู่ อาทิ เต้านมคัดจากการที่ลูกดูดนมน้อยไป หรือคุณแม่ใช้เครื่องปั๊มนมผิดวิธี หากทิ้งไว้เป็นเวลานานจะเกิดการคัดเต้านมอย่างต่อเนื่องจนนำไปสู่เต้านมอักเสบ หรือบางกรณีก็เป็นสาเหตุมาจากลูกเกิดภาวะลิ้นติด จึงทำให้ดูดนมนานแต่ไม่อิ่ม ซึ่งต้องพบแพทย์เพื่อแก้ไขอาการลิ้นติดนั้น เพราะจะส่งผลให้ลูกทานนมไม่อิ่ม ร้องงอแงเสมอและได้รับสารอาหารไม่เพียงพอได้

ทั้ง 4 ความเชื่อดังกล่าว ล้วนถูกบอกต่อกันมาจนอาจสับสน เมื่อคุณแม่ได้รู้ความจริงแล้ว ก็ขอให้นำไปใช้และปฎิบัติตัวอย่างถูกวิธีเพื่อลูกน้อยของคุณนะคะ